หน้าที่ และบทบาท ของ Interior Designer ผู้รับเหมา และ consult
Interior Designer (มัณฑนากร) มีบทบาทหน้าที่หลักคือการ ออกแบบ วางแผน เพื่อให้พื้นที่ใช้สอยภายในมีความ สวยงาม ปลอดภัย เป็นประโยชน์สูงสุด และ ตอบโจทย์ความต้องการและสไตล์ชีวิตของลูกค้า โดยรวมแล้วบทบาทหน้าที่ที่สำคัญ ได้แก่:
การทำแบบ
1 ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า: พูดคุยกับลูกค้าเพื่อกำหนดเป้าหมาย งบประมาณ และความต้องการเฉพาะสำหรับโครงการ
2 การวางแผนพื้นที่ (Space Planning): ออกแบบผัง จัดสรรพื้นที่ภายในให้เหมาะสมกับฟังก์ชันการใช้งาน และการสัญจร
3 การพัฒนาแนวคิดการออกแบบ (Concept Development): กำหนดแนวคิด รูปแบบ และบรรยากาศโดยรวมของพื้นที่ รวมถึงการเลือกใช้โทนสี วัสดุ และองค์ประกอบตกแต่ง
4 การเลือกวัสดุและอุปกรณ์: คัดเลือกและระบุวัสดุตกแต่ง (เช่น พื้น ผนัง เพดาน) เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ติดตั้งต่างๆ (เช่น ไฟส่องสว่าง สุขภัณฑ์) ให้เหมาะสมทั้งด้านความสวยงาม ความทนทาน และงบประมาณ
5 การจัดทำแบบและเอกสาร: สร้างแบบร่าง แผนผัง แบบ 2 มิติ และภาพ 3 มิติ (Rendering) รวมถึงเอกสารประกอบการก่อสร้างเพื่อสื่อสารแนวคิดและรายละเอียดการออกแบบ
6 การประมาณราคาและงบประมาณ: จัดทำประเมินค่าใช้จ่ายคร่าวๆ เพื่อให้ลุกค้าทราบถึงงบประมาน และเมื่อสรุปแบบแล้ว จะจัดทำ Blank BOQ เพื่อให้ผู้รับเหมาเสนอ Bidding ราคาให้กับ Owner
ระหว่างก่อสร้าง
1 การควบคุมงาน : โดยปกติแล้วจะไม่ได้อยู่ใน scope หน้าที่ของ Interior Designer แต่ Interior Designer จะช่วยมาเชคว่างานก่อสร้างตรงตามแบบที่สรุปไว้หรือไม่ ตามที่ตกลงกัน แต่ Owner สามารถตกลงว่าจ้าง scope งานเพิ่มเติมเพื่อให้ Interior Designer เข้ามาควบคุมดูแลงานต่างหากได้ แล้วแต่ตกลงกัน
2 เคลียร์แบบระหว่างก่อสร้าง : หากมีการปรับแบบ หรือ แบบไม่ชัดเจน Interior Designer จะมีหน้าที่ จัดทำ shop drawing และ Detail ให้กับทางผู้รับเหมา
กล่าวโดยสรุป มัณฑนากรคือผู้ที่สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมภายในให้เกิดความสมบูรณ์แบบ ทั้งในด้านสุนทรียภาพและการใช้งานจริง
บทบาทหน้าที่หลักของ ผู้รับเหมาตกแต่งภายใน (Interior Contractor) คือการ นำแบบแผนงานออกแบบ (Design) ที่ได้รับจากมัณฑนากร (Interior Designer) หรือจากลูกค้า มา ดำเนินการก่อสร้างและติดตั้งจริง ให้สำเร็จลุล่วงตามข้อกำหนดและมาตรฐาน
หน้าที่หลักของผู้รับเหมาตกแต่งภายใน ได้แก่:
1 การตีราคาและจัดทำสัญญา (Quotation & Contract):
ประเมินราคาวัสดุ ค่าแรง และค่าใช้จ่ายทั้งหมดตามแบบและรายการวัสดุ (BOQ) ที่ได้รับ
จัดทำสัญญาจ้างที่ระบุขอบเขตงาน งบประมาณ และระยะเวลาการทำงานที่ชัดเจน
2 การจัดหาและจัดการทรัพยากร (Sourcing & Management):
จัดหาวัสดุและอุปกรณ์ ที่ระบุในแบบตามคุณภาพและปริมาณที่ต้องการ
จัดทีมช่างผู้เชี่ยวชาญ (ช่างไม้, ช่างไฟฟ้า, ช่างประปา, ช่างสี ฯลฯ) เพื่อเข้าดำเนินการตามส่วนงานต่างๆ
3 การควบคุมและดำเนินการก่อสร้าง (Construction & Execution):
ดำเนินงานก่อสร้างจริง (เช่น งานผนังเบา, งานฝ้าเพดาน, งานระบบไฟฟ้า/ประปาภายใน) และงานตกแต่งภายในตามรายละเอียดในแบบก่อสร้างอย่างเคร่งครัด
ผลิตและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์บิลท์อิน (Built-in Furniture)
ควบคุมคุณภาพงาน ในทุกขั้นตอนเพื่อให้ได้มาตรฐานและตรงตามสเปควัสดุที่ตกลงไว้
บริหารจัดการหน้างาน ให้เป็นระเบียบ ปลอดภัย และมีการประสานงานระหว่างช่างแต่ละส่วนอย่างราบรื่น
4 การประสานงาน (Coordination):
ประสานงานกับมัณฑนากร หรือสถาปนิก เพื่อสอบถามรายละเอียดแบบ การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นหน้างาน (Site Problem) และการตรวจสอบความคืบหน้า
ประสานงานกับเจ้าของโครงการ/ลูกค้า เพื่อรายงานความคืบหน้าและการตัดสินใจที่จำเป็นในระหว่างการทำงาน
5 การส่งมอบงาน (Handover):
ตรวจสอบความเรียบร้อยของงานทั้งหมดตามสัญญา
ส่งมอบงานที่เสร็จสมบูรณ์ให้แก่ลูกค้า
รับผิดชอบในการแก้ไขงานในกรณีที่มีข้อบกพร่อง (Warranty) ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้
กล่าวโดยสรุป ผู้รับเหมาตกแต่งภายในคือ ผู้ปฏิบัติงาน ที่เปลี่ยน “พิมพ์เขียว” (แบบออกแบบ) ให้กลายเป็นพื้นที่จริงที่ใช้งานได้ โดยรับผิดชอบด้านการจัดการงานภาคสนาม งบประมาณ และเวลาเป็นหลัก
บทบาทหน้าที่หลักของ Construction Consultant คือการเป็นตัวแทนของเจ้าของโครงการในการให้คำปรึกษาและควบคุมดูแลงานทั้งหมด โดยเฉพาะงานที่ต้องอาศัยความรู้ทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม
หน้าที่หลักของ Construction Consultant ได้แก่:
1. การวางแผนและเตรียมการก่อนเริ่มโครงการ
ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study): วิเคราะห์ข้อจำกัดทางเทคนิค, งบประมาณ, และกฎหมาย เพื่อประเมินว่าโครงการสามารถดำเนินการได้จริงหรือไม่
ตรวจสอบแบบและเอกสาร: ทบทวนแบบก่อสร้าง (ของสถาปนิกและวิศวกร) และรายการประกอบแบบ (Specification) เพื่อหาข้อบกพร่อง ความไม่สมบูรณ์ หรือความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น
ควบคุมและจัดทำงบประมาณ: จัดทำเอกสารประมาณราคาค่าก่อสร้าง (BOQ – Bill of Quantities) กลาง และ ตรวจสอบราคา ที่ผู้รับเหมาเสนอมา เพื่อให้มั่นใจว่าราคาสมเหตุสมผลและไม่เกินงบประมาณที่ตั้งไว้
คัดเลือกและเจรจาผู้รับเหมา: ช่วยเจ้าของโครงการในการจัดหา คัดเลือก และให้คำแนะนำในการ ทำสัญญาจ้างก่อสร้าง กับผู้รับเหมาที่เหมาะสม
2. การควบคุมและบริหารจัดการโครงการระหว่างก่อสร้าง
บริหารจัดการเวลาและแผนงาน (Schedule Management): ตรวจสอบและติดตามความคืบหน้าของงานก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด เพื่อให้โครงการเสร็จทันเวลา
ควบคุมคุณภาพงาน (Quality Control):
ตรวจสอบวัสดุ ที่นำมาใช้ในไซต์งานว่าถูกต้องตามที่ระบุในแบบและมาตรฐานหรือไม่
ควบคุมวิธีการทำงาน และขั้นตอนการก่อสร้างของผู้รับเหมาให้เป็นไปตามหลักวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม
ตรวจรับงานงวด ก่อนการอนุมัติการจ่ายเงินแต่ละงวดให้กับผู้รับเหมา
ประสานงานและแก้ปัญหา:
ทำหน้าที่เป็น คนกลางประสานงาน ระหว่างเจ้าของโครงการ, สถาปนิก, วิศวกร, และผู้รับเหมา เพื่อให้การสื่อสารราบรื่น
แก้ไขปัญหา ทางเทคนิคและปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ ที่เกิดขึ้นในไซต์งาน
3. การปิดโครงการและการส่งมอบ
ตรวจสอบและส่งมอบงานขั้นสุดท้าย: ตรวจสอบความบกพร่อง (Defect Inspection/Snagging) และดูแลให้ผู้รับเหมาแก้ไขจนครบถ้วนตามมาตรฐาน ก่อนการส่งมอบอาคาร
จัดการเอกสารโครงการ: รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น แบบ As-Built, ใบรับประกันวัสดุ, และคู่มือการใช้งาน/บำรุงรักษาอาคาร
แนะนำการบำรุงรักษา: ให้คำแนะนำแก่เจ้าของโครงการเกี่ยวกับการดูแลและบำรุงรักษาอาคารหลังจากเข้าใช้งานแล้ว
กล่าวได้ว่า Consult งานรับเหมา คือผู้ที่ใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคมาทำหน้าที่ ดูแลผลประโยชน์สูงสุดของเจ้าของโครงการ ในทุกขั้นตอนของงานก่อสร้าง